ประโยชน์ของไลโคปีน(lycopene)
ไลโคปีน(Lycopene) มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคำว่า lycopersicumซึ่งเป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์
บ่งบอกสปีชีส์ของมะเขือเทศ (Solanum lycopersicum)
ไลโคปีนจัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์(carotenoid) ชนิดหนึ่งใน 600 ชนิด
ละลายได้ดีในไขมันเช่นเดียวกับเบต้าแคโรทีนมีรงควัตถุ (pigment) สีแดง
พบได้ทั่วไปในมะเขือเทศสุก ฝรั่ง (pink guava) แตงโม ส้ม มะละกอ แครอท ส้มโอสีชมพู ฟักข้าว (หรือ Gac furit
มีสารไลโคปีน มากกว่ามะเขือเทศถึง 70 เท่า) และในผักผลไม้สีแดงต่างๆ
(ยกเว้นสตรอเบอร์รี่และเชอร์รี่) แต่ไม่พบในสัตว์
ไลโคปีนที่พบมี
โครงสร้างทางเคมี 2 แบบคือ trans – configuration และแบบ
cis-isomer โดยในธรรมชาติจะพบไลโคปีนแบบ trans –
configuration
แต่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ cis-isomer
ได้เมื่อสัมผัสกับความร้อนหรือและสว่าง
โดยในกระแสเลือดของคนเราพบไลโคปีนแบบ cis-isomer อยู่ถึง 60%
เลยทีเดียว
ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ไลโคปีนเองได้
ดังนั้นเราจึงต้องรับประทานไลโคปีนเข้าไปจากผักผลไม้ หรืออาหารเสริม
โดยไลโคปีนจะไปกระจายอยู่ทั่วไปในเนื้อเยื่อบริเวณที่แตกต่างกัน
โดยส่วนใหญ่พบการสะสมของไลโคปีนมากที่ต่อมหมวกไต ลูกอัณฑะ และตับ
จากการศึกษาวิจัยพบว่าไลโคปีนที่ผ่านกระบวนการใช้ความร้อน (heat
processed-lycopene)เช่นการปรุงอาหารร่างกายจะสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าไลโคปีนในธรรมชาติ
เนื่องจากไลโคปีนที่มีโครงสร้างแบบ cis -isomer ถูกดูดซึมได้ดีกว่าแบบ trans – configuration และแบบ cis -isomer
จะสามารถละลายและรวมตัวกับกรดน้ำดี (bile acid micells)ได้ดีกว่าแบบ trans–configurationด้วย
นอกจากนั้นการใช้ความร้อนในการประกอบอาหารยังทำให้ไลโคปีนที่อยู่ในผนังเซลล์ของผักและผลไม้ละลายออกได้มากขึ้น
ทำให้ดูดซึมในระบบย่อยอาหารได้ดีกว่ารับประทานแบบสดถึง
2.5 เท่า
ดังนั้นหากจะรับประทานผักและผลไม้เพื่อให้ร่างกายได้รับไลโคปีนจึงควรนำผักและผลไม้ไปปรุงให้สุกก่อน
มีผลการวิจัยทางการแพทย์ที่ระบุว่าเมื่ออายุมากขึ้น
ปริมาณของไลโคปีนในร่างกายจะลดลง
ส่งผลให้โอกาสในการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น
โรคมะเร็ง
โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากมะเร็งปอดมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก
เนื่องจากไลโคปีนเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant)ที่มีความแรงมากและมีส่วนสำคัญในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
กลไกการออกฤทธิ์ที่สำคัญคือเข้าไปจับกับอนุมูลอิสระ (Free radical) ในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการทำลายสายดีเอ็นเอ
อันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ไลโคปีนจะช่วยลดการก่อกลายพันธุ์
ทำให้สามารถยับยั้งวงจรชีวิตของเซลล์มะเร็งในช่วงต้น (ระยะ G1)
และลดการเกิดเนื้องอกได้เมื่อเทียบกับสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดอื่นๆไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
เนื่องจากมีโครงสร้างที่ต่อกันเป็นสายยาวกว่า
ดังรายงานการศึกษาเปรียบเทียบผลในการต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง
พบว่าไลโคปีนมีฤทธิ์ที่ดีกว่าเบต้าแคโรทีนและแอลฟาโทโคฟีรอลถึง 2 และ 10
เท่าตามลำดับ
มีความเชื่อว่าไลโคปีนสามารถปรับระบบฮอร์โมนและภูมิคุ้มกัน
ตลอดจนเมตาบอลิซึมในร่างกายได้
นอกจากนี้การรับประทานไลโคปีนในปริมาณสูงยังช่วย ยับยั้งเอนไซม์สำคัญที่ใช้สังเคราะห์คอเลสเตอรอล
และเร่งสลายคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือ LDL (Low
density lipoprotein) ที่มีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแข็งตัวได้อีกด้วย
ร่างกายของคนเราควรได้รับปริมาณไลโคปีน
อย่างน้อย 6.5 มก.ต่อวัน
ซึ่งเทียบได้กับการทานมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบในอาหาร 10
ครั้งต่อสัปดาห์
ปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าการได้รับไลโคปีนมากเกินไปจะมีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร
0
ไลโคปีน 12.70 มก.มีอยู่ใน ผลิตภัณฑ์ Ricebran and Germ Oil Plus
ผลิตภัณฑ์
Ricebran
and Germ Oil Plus กำลังได้รับความนิยมที่สุดในขณะนี้
ปริมาณและราคา1 กล่องบรรจุ 60 แคปซูลราคา1,260 บาท
สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่
คุณ วรกัญณัฎฐ์ อัครเรืองวงศ์
โทร. 064-549-3661,095-163-9336
อีเมล์ : kunnut59@gmail.com